ยอดขายเพิ่มขึ้นทุกเดือน สินค้าในร้านขายหมดไว แต่พอถึงเวลาต้องสั่งสต็อกใหม่ กลับพบว่า “เงินไม่พอ” สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเจ้าของกิจการจำนวนมาก และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปัญหาเรื่องรายได้ไม่พอ ทั้งที่แท้ที่จริงแล้ว “นี่คือรอยรั่วจากระบบการเงินภายใน” ที่ยังไม่แข็งแรงมากพอ
ธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องใช้เงินหมุนเวียนจำนวนมากเพื่อสต็อกสินค้า จ่ายค่าแรง ประคองค่าใช้จ่ายรายเดือน และลงทุนต่อเพื่อขยาย การขาดทุนหมุนเวียนแม้เพียงระยะสั้น อาจทำให้คุณเสียโอกาสสำคัญ หรือแม้กระทั่งเสียความน่าเชื่อถือกับซัพพลายเออร์
ธุรกิจขายดี แต่ทุนหมุนเวียนสะดุด ปัญหาเกิดจากอะไร
ปัญหาที่ 1 บริหารเงินไม่เป็นระบบ
เจ้าของกิจการจำนวนมากยังให้ความสำคัญกับยอดขายมากกว่าการวางแผนกระแสเงินสด ทั้งที่ความสามารถในการบริหารเงินสดมีผลโดยตรงต่อ “ความเร็วในการโต” ของธุรกิจ เงินที่ได้รับจากยอดขายควรถูกจัดสรรออกเป็นหลายส่วน เช่น ต้นทุนโดยตรง เงินทุนหมุนเวียนสำรอง เงินสำหรับค่าใช้จ่ายคงที่ และเงินสำหรับการลงทุนระยะต่อไป หากคุณไม่มีระบบแยกส่วนนี้ไว้ชัดเจน ธุรกิจอาจมีเงินเข้าเยอะ แต่ยังคงเจอคำถามเดิมว่า “เงินหายไปไหนหมด?”
วิธีแก้ไข
- จัดทำงบกระแสเงินสด เพื่อทราบว่าเงินสดรับเข้าและจ่ายออกตรงส่วนใดบ้าง
- ทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของการขาดทุนและปรับปรุงการบริหารเงิน
- ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพิ่มเงินสดจากการดำเนินงาน
ปัญหาที่ 2 ไม่เข้าใจต้นทุนที่แท้จริงของสินค้า
ต้นทุนสินค้าไม่ใช่แค่ราคาสินค้าจากโรงงาน แต่รวมถึงค่าขนส่ง ค่าเสียหาย ค่าเก็บสต็อก ค่าพนักงาน ค่าการตลาด และต้นทุนแฝงอย่างค่าบริหารของคุณเอง หลายกิจการคิดว่าทำกำไรได้ แต่ในความเป็นจริง กลับมีต้นทุนที่ไม่ถูกนับอยู่เต็มไปหมด จึงมองไม่เห็น “กำไรจริง” และไม่สามารถคำนวณกำลังซื้อได้อย่างแม่นยำ เมื่อถึงเวลาสั่งผลิตรอบใหม่ เงินสดจึงขาดแบบไม่รู้ตัว
วิธีแก้ไข
- ทำความเข้าใจโครงสร้างต้นทุน เพื่อควบคุมต้นทุนและรักษาคุณภาพของสินค้า
- ลดต้นทุนการผลิต โดยการปรับปรุงกระบวนการทำงานและการบริหารจัดการด้วยคน
- ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดต้นทุน เช่น ส่งอีเมลแทนการส่งจดหมาย ลดจำนวนเอกสารที่เป็นสิ่งพิมพ์
ปัญหาที่ 3 ไม่แยกเงินส่วนตัวกับเงินธุรกิจ
หนึ่งในความผิดพลาดที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มธุรกิจ SME คือการใช้บัญชีเดียวกันสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช้จ่ายของกิจการ การถอนเงินออกมาใช้ส่วนตัวแบบไม่มีบันทึกทางบัญชีจะทำให้ธุรกิจขาดการควบคุมทางการเงิน และเมื่อถึงเวลาตรวจสอบยอดจริง อาจไม่สามารถบอกได้เลยว่า ธุรกิจขาดทุน หรือคุณใช้เงินธุรกิจเกินไปกันแน่ ที่น่ากังวลคือ เจ้าของหลายรายแม้จะบริหารสินค้าและทีมงานได้ดี แต่กลับ “ดูงบไม่เป็น” และไม่มีภาพรวมทางการเงินที่ช่วยในการวางแผน ทำให้หมดโอกาสขยายหรือแม้แต่ป้องกันปัญหากระแสเงินสดติดขัด
วิธีแก้ไข
- แยกบัญชีรายรับรายจ่ายระหว่างเงินที่รับทำงานและเงินใช้จ่ายส่วนตัว เพื่อให้เห็นภาพรวมทางการเงินชัดเจน
- ตั้งเงินเดือนและปันผลให้กับตัวเอง เพื่อแยกเงินส่วนตัวกับเงินธุรกิจออกจากกัน
ปัญหาที่ 4 ไม่มีการวางแผนเงินทุนหมุนเวียนอย่างรอบคอบ
แม้ยอดขายจะดี สินค้าจะหมดสต็อกทุกวัน แต่หากไม่มีการคำนวณว่า “ต้องเตรียมเงินสดเท่าไรในรอบเดือน – รอบไตรมาส” ธุรกิจคุณก็ยังคงเจอปัญหาเดิมซ้ำซาก
เงินทุนหมุนเวียนที่ดีต้องถูกประเมินล่วงหน้า โดยพิจารณาจากรอบการสั่งซื้อสินค้า รอบการจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์ และรอบที่ลูกค้าจ่ายเงินคืน หากคุณไม่มีเครื่องมือช่วยติดตาม หรือยังไม่ได้วางระบบ Cash Flow ที่รัดกุมเพียงพอ ความวุ่นวายในการหาเงินหมุนแบบเร่งด่วนก็จะเป็นเรื่องที่คุณต้องเผชิญเรื่อยไป
วิธีแก้ไข
- ประเมินเงินทุนหมุนเวียน โดยเปรียบเทียบ “สินทรัพย์หมุนเวียน” กับ “หนี้สินหมุนเวียน”
- ขอขยายระยะเวลาชำระหนี้กับเจ้าหนี้ให้ยาวขึ้น ลดการพึ่งพาหนี้ระยะสั้น
- จัดหาแหล่งเงินทุนสำรอง เช่น สินเชื่อเงินกู้เบิกเกินบัญชี หรือเงินสดด่วนประเภทบัตรกดเงินสด
ธุรกิจที่ดีไม่ใช่แค่ขายดี แต่ต้อง “จัดการเงินได้ดี” ด้วย
ปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียนไม่ใช่เรื่องใหญ่เกินแก้ แต่ต้องเริ่มจากการยอมรับว่าคุณกำลังเจอ “รอยรั่วในระบบ” และต้องสร้างวินัยใหม่ทางการเงินอย่างจริงจัง
ถ้าวันนี้คุณยังไม่สามารถแยกต้นทุนแท้จริงออกจากรายได้ ยังไม่แยกเงินส่วนตัวกับธุรกิจ และยังไม่ได้วางระบบการเงินที่ชัดเจน
คุณอาจขายดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่กำไรจริงกลับบางลง และเสี่ยงที่จะสะดุดโดยไม่รู้ตัว